Thaiteenline-logo
home about law teens article hotline contact
 
     
 

บทความ 4 ครูขา...อยากให้แม่...ฟังหนูบ้าง

ครูขา…อยากให้แม่..ฟังหนูบ้าง

 

                รุ่งขึ้นหลังจากวันที่นักเรียนชั้น ม.6/4 ได้มีการ “ซักฟอก” พฤติกรรมของกมลวรรณในฐานะที่ชอบทำผิดระเบียบในห้องเรียนเสมอ ๆ จนทำให้ชื่อเสียงของห้องเสีย แม้ว่าเหตุการณ์เฉพาะหน้าดูเหมือนว่าจะสงบไป แต่ก็แน่ใจไม่ได้ว่าความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นได้อีกเมื่อไหร่ ในเมื่อสาเหตุของปัญหายังไม่คลี่คลาย ดิฉันถือโอกาสเข้าไปคุยกับครูประจำชั้น ม. 6/4 ซึ่งค่อนข้างจะมีบุคลิกเป็นนักวิชาการธุรกิจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

 

          “กมลวรรณหรือค่ะ? เด็กคนนี้แย่มาก สนใจเรียนอยู่วิชาเดียวคือชีวะฯ เพราะติดใจอาจารย์นิด วิชาอื่นก็ขาดเรียนบ่อย ถึงไม่ขาดเรียนก็ดูเหมือนว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหนูว่าเด็กมันมีปัญหา หนูก็ไม่รู้จะทำยังไง วิชาชีวะที่ว่าเข้าเรียนนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาตัวรอดได้นะ ได้แค่ 1 เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กโง่นะพี่…ทีเรื่องอื่นสารพัดชอบไปวุ่นวายจัดการ สรรหามาให้ครูดุ แม่ก็แสนจะเอาใจใส่ให้เรียนพิเศษอยู่ทุกวัน ค่าเรียนก็แพง อุตสาห์ให้ลูกไปเรียนข้างนอก เสาร์-อาทิตย์ก็มีครูมาสอนที่บ้าน เรารึหวังดีจะไปสอนให้ หนอยกลับปฏิเสธ ทั้ง ๆที่หนูคิดถูกกว่าคนอื่นด้วย หนูว่าปีนี้คงไม่ผ่าน! อาจารย์สุวภีซึ่งเพิ่งจบมาได้สามปี และเป็นครูประจำชั้นปีนี้เป็นปีแรกเล่าถึงลูกศิษย์คนนี้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ในขณะที่จิ้มฝรั่งดองเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

          “น้องเคยคุยกับกมลวรรณถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ หรือเปล่าคะ ?" ดิฉันตั้งใจที่จะพูดเท่าที่ไม่กระทบกระเทือนเพื่อนครูมากนัก ชีวิตครูเป็นชีวิตที่ละเอียดอ่อนทำด้วยใจรัก และใช้เวลา

          “โอ๊ยพี่…แค่หนูกวดวิชาเด็กทั้งห้องเพื่อเตรียมเด็กสอบเอ็นทรานซ์นี่ หนูก็จะกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่แล้ว ปีนี้หนูหวังว่าเด็กของหนูจะสอบได้มากกว่านะคะ ดังแน่ เลยโรงเรียนเราคราวนี้เป็นสับปะรดหวานฉ่ำที่ถูกเคี้ยวและกลืนลงไปอย่างพอใจ

          “น้องคงยังไม่เคยพบกับผู้ปกครองของกมลวรรณซิคะ?  ดิฉันยังไม่หมดความพยายาม

          “คุณแม่เขาเคยมาขอพบหนูค่ะ แต่วันนั้นหนูยุ่งมาก กำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดี จึงไม่มีโอกาสได้เจอ ว่าจะเชิญมาพบ ก็ยังยุ่ง อยู่

          “คืออย่างนี้นะคะ เมื่อวานพี่เข้าไปสอนห้องของน้อง เจอเหตุการณ์ที่เด็กเกือบทั้งห้องไม่พอใจกมลวรรณ  พี่คิดว่าเราน่าจะให้ความสนใจกมลวรรณให้มากนะคะ พี่คิดว่าเขาต้องการความช่วยเหลือในหลาย ด้านโดยเฉพาะเรื่องการเรียนและการปรับตัวเข้ากับสังคม ซึ่งคงต้องมีสาเหตุมาจากทางบ้านด้วย พี่จะเชิญคุณแม่กมลวรรณมาพบ เราคงต้องช่วยกันนะ

          “หนูรู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหา แต่หนูไม่ทราบว่าจะช่วยเขาอย่างไรดี มีหลายครั้งที่หนูไม่พอใจพฤติกรรมก้าวร้าวของเขา ความดื้อเงียบของเขาเหมือนกัน ถ้าพี่ช่วยเด็กคนนี้หนูก็ยินดีมาก ครูประจำชั้นซึ่งเพิ่งผ่านวัยรุ่นมาไม่เท่าไรยอมสารภาพ

          “อย่างไรก็ตาม น้องคงต้องคอยสอดส่องและใส่ใจเขาด้วย เพราะการที่น้องเน้นทางด้านวิชาการอย่างเดียว พี่คิดว่าการอบรมสั่งสอนของเราจะไม่ครบถ้วน เราต้องอบรมทางจิตใจให้เขาด้วย ความจริงเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษอย่างนี้ก็มีไม่กี่คนในห้องหนึ่ง หากน้องจะให้เด็กที่สามารถปรับตัวได้เอง ให้เขาเดินด้วยตัวเขาเองบ้าง และหันมาประคับประคองเด็กที่อ่อนทั้งการเรียนและจิตใจ พี่ว่าคุณภาพการสอนของน้องจะมีคุณค่าขึ้นนะคะ อย่างน้อยทั้งเพื่อนครู ผู้บริหารและใคร ก็จะมองเห็นว่าน้องทำหน้าที่ครูได้ครบ  ดิฉันถือโอกาสแสดงความเป็นพี่และความแก่ประสบการณ์กว่า เพื่อให้เธอเห็นคุณค่าของความเป็นครูมากขึ้นกว่าค่าตอบแทนที่จะได้ ซึ่งยังเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับผู้คนส่วนมากอยู่

          ดิฉันคอยสังเกตพฤติกรรมของกมลวรรณอยู่ห่าง ๆ เธอเศร้า ซึม แยกตัวจากกลุ่มเพื่อน ม.6/4 และไปไหนกับเพื่อนต่างห้อง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันสัมผัสได้ในแววตาที่ดื้อรั้นนั้น คือ "ความถือทิฐิ"  ดิฉันคอยเวลา เวลาที่เธอจะมีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตนเอง…และแล้วเวลาทีรอคอยก็มาถึง

 

          เย็นวันนั้นดิฉันคิดว่าอยากจะกลับบ้านเร็วสักหน่อย แต่หลังโรงเรียนเลิกก็มีร่างหนึ่งยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่ประตูห้อง

          “กมลวรรณหรือจ๊ะ เข้ามาสิ ร่างนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามา มีท่าทีประหม่าและหวาดกลัว

          “หนูนั่งรอครูเดี๋ยวนะคะ วันนี้ครูมีธุระ จะต้องกลับเร็วหน่อย ดิฉันอยากจะทิ้งช่วงเวลาให้เธอนั่งสงบ และให้เธอรู้ถึงบทบาทความรับผิดชอบของตัวเอง

          “เอาละ มีเรื่องอะไรอยากจะบอกครู ดิฉันวางท่าเงียบเฉย เหมือนกับไม่ค่อยใส่ใจบรรยากาศมากนัก

          “หนูมากราบขอบพระคุณคุณครูค่ะ…ที่ช่วยหนูให้พ้นจากการเอาเรื่องของเพื่อนในวันนั้น” เธอหลุดปากออกมาด้วยความยากลำบาก

          “เป็นยังไงบ้าง” ดิฉันถามไปเรื่อย ๆ “หนูรู้สึกว่าชีวิตถูกบีบบังคับ มันยากไปหมด หนูปวดหัวแทบระเบิด หนูเรียนไม่รู้เรื่อง หนูกลัวที่จะเข้าไปคุยกับเพื่อน หนูไม่พูดกับคุณแม่ ชีวิตหนูเหมือนอยู่คนเดียว ว่าแล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมา ทุกอย่างเก็บกดไว้ไม่ไหวแล้ว มันระเบิดออกมา ดิฉันปล่อยให้เธอร้องไห้จนสาแก่ใจ

          “เอ้า…เล่าให้ครูฟังหน่อย สาเหตุของการระเบิดภูเขาไฟลูกนี้มาจากไหน ดิฉันพูดทีเล่นทีจริง

          “หนูมีปัญหาทุกอย่าง หนูไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหน ไม่มีใครรักหนูเลย ไม่รู้หนูเกิดมาทำไม

          “เริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวของหนูก็ได้ ค่อย นึก ค่อย เล่าว่าตลอดเวลา 18 ปี ที่ผ่านมานั้น เกิดอะไรขึ้นกับหนู

          “ครอบครัวหนูเป็นครอบครัวที่มีตระกูลดี เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ซึ่งบรรพบุรุษญาติพี่น้อง รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ของหนูจะรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลไว้ยิ่งชีวิต พ่อแม่หนูมีลูกเพียงสองคน หนูและน้องชายซึ่งอายุห่างกันมาก เขาอยู่ . 6 ค่ะ ดังนั้น หนูจึงเป็นความคาดหวังของครอบครัวอย่างมาก คุณพ่อของหนูเป็นคนเฉย ไม่สนใจ ไม่ยุ่งเรื่องในครอบครัว คุณแม่จึงดูเหมือนว่าเป็นเจ้าชีวิตของหนูคนเดียว ตอนเล็ก บ้านของหนูอยู่ในบริเวณบ้านคุณปู่คุณย่า ซึ่งก็มีบ้านของคุณอาอีกสองคนอยู่ในบริเวณเดียวกัน หนูมีความรู้สึกว่า ชีวิตของหนูไม่มีอิสระเพราะคุณแม่ต้องเปรียบเทียบลูก ของคุณอา หรือพยายามบังคับให้หนูทำในสิ่งที่คุณแม่ต้องการเพื่อจะรักษาหน้าของคุณแม่เอาไว้ คุณแม่พูดอยู่ตลอดเวลาว่า 'อย่าทำขายหน้าแม่และเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลสิ'… "

"…หนูคิดอยู่ตลอดเวลาว่าหนูไม่มีสิทธิที่จะทำในสิ่งที่หนูต้องการเลยหรือ ทำไมชีวิตของหนูจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นในเมื่อหนูก็เป็นตัวของหนูเอง แต่คุณแม่ก็ชนะหนูมาตลอด หนูเรียนชั้นประถมถึง . 3 มาจากโรงเรียนอื่นซึ่งหนูก็เรียนอยู่ในขั้นดี มีความสุขกับเพื่อน อาจจะเป็นเพราะว่าหนูมีครูที่เข้าใจ และในห้องมีการแข่งขันกันน้อย เพื่อน มักจะตามใจหนูอยู่เสมอ อะไรที่ไหนทำไม่ได้ที่บ้าน เพราะคุณแม่บอกว่าต้องทำแบบคุณแม่หนูก็มาทำแบบของหนูที่โรงเรียน หนูจะมีบุคลิกสองแบบ อยู่ที่บ้านหรือไปไหนกับคุณแม่ หนูจะต้องทำตัวเป็นกุลสตรีเพื่อรักษาหน้าคุณแม่"

"…ที่โรงเรียนหนูจะเป็นผู้นำคิดริเริ่มอะไรแปลก ใหม่ๆ อยู่เสมอ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าไม่ดีผิดระเบียบหนูก็ถูกคุณครูวากล่าวตักเตือน แต่หนูรู้สึกอิสระดี หนูยังคิดได้ว่าเพื่อนและครูที่โรงเรียนเขารักหนู แม้ว่าหนูจะรู้ตัวว่ามีนิสัยชอบเอาแต่ใจตนเอง และไม่ค่อยสนใจในความรู้สึกของคนอื่น พอหนูจบ .3 คุณแม่ให้หนูมาสอบเข้าโรงเรียนนี้ เพราะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง หนูสอบเข้าได้ด้วยความสามารถของตัวหนูเองนะคะ ทั้ง ที่คุณแม่พยายามวิ่งเต้น 'ใช้เส้น' เพื่อให้หนูได้เข้า หนูคิดว่าบรรยากาศของโรงเรียนนี้ไม่เหมือนโรงเรียนเดิม หนูปรับตัวไม่ได้ หนูรู้สึกว่าเพื่อนๆ เอาจริงเอาจังมาก ทั้งในด้านการเรียนและอื่น ที่บ้านหนูก็มีปัญหากับคุณแม่มากขึ้น เพราะหนูไม่ยอมทำตามคุณแม่อีกต่อไปแล้ว คุณแม่หาว่า…หนูเป็นทอมเพราะหนูมีน้อง และพี่ มาชอบ เขาบอกว่าหนูเท่ห์ หน้าตาดี หนูก็บอกคุณแม่ว่า หนูเป็นอย่างนี้ไม่นานหรอก หนูเห็นเพื่อนเป็น หนูก็เป็นมั่ง มันสนุก และก็ชอบที่จะให้คนมาแสดงความรักความสนใจหนู หนูบอกให้คุณแม่คอย คุณแม่ก็ไม่ยอมเข้าใจ หนูขอคุณแม่ไปค้างคืนที่บ้านเพื่อนเมื่อมีงานหรือขอไปต่างจังหวัด คุณแม่ก็ไม่ยอมให้ไป หนูขอตั้งแต่อยู่ .1 คุณแม่ก็บอกว่าให้จบ .4 ก่อน จนป่านนี้หนุก็ไม่เคยออกจากบ้านไปค้างที่ไหน นอกจากครั้งหนึ่งที่เคยไปค้างกับเพื่อนซึ่งต้องอ้อนวอนคุณแม่เขาให้โทรศัพท์มาขออนุญาตคุณแม่ หลังจากหนูเรียนพิเศษตอนเย็น หนูจะไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง กลับบ้านค่ำหน่อย คุณแม่ก็บ่นบอกว่าให้โทรศัพท์มาบอก พอหนูโทรฯ มาบอกคุณแม่ก็ดุหนูบนสายจนหนูไม่สบายใจ และไม่ไป หนูไม่เคยมีชีวิตส่วนตัวของหนูเลย หนูนั่งทำการบ้านที่บ้าน คุณแม่ก็มานั่งเป็นเพื่อน บอกว่ากลัวหนูจะง่วงนอน หนูทำรายงาน และเอาส่วนหนึ่งที่เพื่อนหามา เอามาลอก คุณแม่ก็หาว่าหนูไม่พยายามทำเอง ทั้ง ที่คุณแม่ไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลย แต่หนูก็เงียบ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ หนูพูดคำหนึ่ง คุณแม่ก็ตอบพันคำ…”

          “หนูคิดว่าคุณแม่เรียกร้องและคาดหวังในสิ่งที่หนูทำไม่ได้หรือ?

          “ค่ะ เริ่มต้นอย่างนั้น แต่ตอนหลังหนูก็รู้สึกว่าหนูเกิดความสับสน ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกหรือเปล่า ? บางครั้งหนูตั้งใจจะทำดีที่สุด แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม

          “เช่นอะไรค่ะ“

          “เรื่องการเรียนค่ะ คุณแม่หนูไม่สบายใจมากที่การเรียนหนูไม่ดี ได้ 0 ได้ 1 หลายวิชา คุณแม่จึงให้เรียนพิเศษทุกวันนอกโรงเรียน หนูก็พยายามนะคะที่จะเรียนให้ดี แต่ก็ทำไม่ได้ เวลาเรียน หนูก็เรียน หนูก็เข้าใจ แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่อง สอบหนูก็ไม่ผ่าน แม้กระทั่งวิชาชีววิทยา ซึ่งหนูชอบเรียนมากที่สุด หนูเข้าเรียนทุกครั้ง แต่หนูก็คะแนนไม่ดี หนูสับสนวุ่นวายไปหมด ตอนนี้ก็ใกล้สอบแล้ว หนูไม่ทราบว่าจะช่วยตัวเองยังไง ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด แถมเรื่องเพื่อนประดังเข้ามาอีก

          “ค่ะ…วันนี้เราคุยกันได้อะไรมาก หนูพร้อมที่จะปรับปรุงตัวเองหรือเปล่า ในเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายไปทุกจุดอย่างนี้

          “ค่ะ…หนูไม่มีทางเลือกแล้วนี่ค่ะ? หนูอยากสอบเอ็นทรานซ์คณะบัญชี แต่หนูก็ไม่ทราบว่าตั้งความหวังไว้ทำไม เลือนลางเหลือเกิน รายงานก็ยังทำไม่เสร็จอีกหลายวิชา หนูงงไปหมด หน้าตาของกมลวรรณทำให้ดิฉันรู้สึกสงสารเธออย่างบอกไม่ถูก

          “เราเริ่มที่จุดการเรียนก่อนนะคะ หนูเริ่มเข้าไปหาอาจารย์ที่สอนทุกวิชาที่เรียนไม่ดี ปรึกษา ขอคำอธิบาย เร่งทำรายงานไปด้วย และหนูกลับบ้านวันนี้ บอกคุณแม่ด้วยนะคะว่า…พรุ่งนี้ครูขอเชิญมาพบเก้าโมงเช้าที่นี่ ครูอยากคุยกับคุณแม่ของหนู วันนี้…ครูอยากให้หนูรีบกลับบ้าน พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ เพราะครูรู้ว่าหนูกำลังจะเป็นไข้ พรุ่งนี้จะได้ไม่ขาดเรียน

 

          คุณแม่ของกมลวรรณมาหาดิฉันตามนัดในวันรุ่งขึ้น เราใช้เวลาคุยกันเกือบสองชั่วโมง เธอเป็นหญิงวัยกลางคน แต่งตัวสมวัยไม่เกิน 45 ปี เป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวมีอัธยาศัยดี แต่เพราะความคิดผูกพันที่ว่า “ดิฉันเป็นเจ้าของลูก ประกอบกับความมีหน้ามีตาและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล จึงไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้ลูกเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่

          “ดิฉันคิดว่าเขาเป็นเด็กฉลาด ถ้าอะไรที่เขาอยากทำ เขาจะทำได้อย่างดี แต่ดิฉันเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียนไม่ได้ดี ทั้ง ที่ดิฉันทุ่มเททุกอย่างให้เขา อย่างน้อยก็อยากให้เขาเรียนจบปริญญาตรี จะได้ไม่ขายหน้าลูกของอา เขา!

          ค่ะ…คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนั้น คือคาดหวังในตัวลูกสูง ต้องการให้ลูทำในสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุด หรือสิ่งที่พ่อแม่ไม่มีโอกาสได้ทำ พร้อมกันนี้ก็เอาลูกของตนไปเปรียบเทียบกับลูก ของคนอื่น โดยมองข้ามไปว่ามาจากคนละสิ่งแวดล้อมกัน มาจากคนละครอบครัวกัน เปรียบเทียบแล้ว ก็จะเห็นแต่ความดีเด่นของคนอื่น แล้วหันกลับมาเข้มงวดเอากับลูกของตน ลืมไปว่าวัยเด็กและวัยรุ่นย่อมมีการพัฒนาไปตามขั้นตอนและช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นภาระที่ต้องปรับตัวมากพออยู่แล้ว

การไปเคี่ยวเข็ญบังคับจะสร้างความกดดันให้กับเด็กมากขึ้น ด้วยความรักพ่อแม่ เด็กอาจจะยอมอดทนทำแต่ก็กลับมีพฤติกรรมแสดงออกเมื่ออยู่นอกบ้านและพฤติกรรมนั้นอาจเป็นได้ทั้งความก้าวร้าว ความแข่งขัน ความเป็นผู้นำ เพื่อเป็นการระบายความเครียดภายในใจของคุณ

ขณะนี้เดียวกันเด็กเกิดความท้อแท้คับข้องใจ เหนื่อยหน่ายทุกข์ใจกับความขัดแย้งที่นำไปสู่ความสับสนใจในตนเองและสิ่งแวดล้อม พ่อแม่ที่เข้าใจลูกย่อมให้เวลา ให้โอกาสเด็กเรียนรู้ที่จะเติบโตด้วยตนเองบ้าง เพียงแต่คอยชี้แนะเป็นกำลังใจและประคับประคอง เป็นเพื่อนเคียงข้างในยามที่เขาต้องการเท่านั้น

จริงอยู่ถึงลูกจะเป็นลูกของเรา แต่พ่อแม่จะควบคุมหรือแสดงความเป็นเจ้าของชีวิตลูก หรือพยายามปกป้องลูกมากเกินไป ย่อมจะกลายเป็นการทำร้ายสุขภาพจิตของเด็ก ไปได้

          นี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ดิฉันได้สะท้อนกลับไปให้คุณพ่อคุณแม่ของกมลวรรณได้มองเห็น และรับไปพิจารณาปรับปรุง แน่นอน…นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย หรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้โดยฉับพลัน แต่ดิฉันก็ได้แต่หวังและภาวนาว่า คุณแม่ของวัยรุ่นทุกคน จะได้ตระหนักและเข้าใจถึงความต้องการของลูก บ้าง

 

 
 
  Counter 203,474
 
 
© 2012 Thaiteenline. All Rights Reserved. หน้าหลัก | ความเป็นมา | กฎหมายเด็กและครอบครัว | วัยรุ่นอยากรู้ | บทความวัยรุ่น | ฮอทไลน์เคลื่อนที่ | ติดต่อเรา