Thaiteenline-logo
home about law teens article hotline contact
 
     
 

การดำเนินชีวิตของนักศึกษา(ใหม่) ในมหาวิทยาลัย (ต่อ 2)

 

7 .การเรียน และช่วยงานบ้าน

ตอนนี้ผมเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 แล้วครับ ซึ่งใกล้จะจบแล้ว เทอมหน้าอีกเทอมเดียว จบ 3 ปีครึ่งครับ ปีสามเทอมสองนี้ ที่กำลังจะสอบเดือนหน้านี้ เป็นเทอมที่ยากที่สุดในสายที่ผมเรียนเลยครับ ผมค่อนข้างเป็นกังวลว่ามันจะผ่านไปไม่ได้ เกรดเฉลี่ยผมตอนนี้ 3.6 กว่าๆ ซึ่งก็คาบเส้นเกียรตินิยมอันดับ 1 อยู่ครับ คือถ้าต่ำกว่า 3.6 จะไม่ได้อันดับ 1 ผมก็เลยเครียดครับ เพราะเนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาในการอ่านหนังสือ คือ ต้องช่วยงานที่บ้านครับ ที่บ้านมีรถตู้คันนึง ซึ่งรับขับทัวร์ทั่วไป แล้วผมก็ขับแทนพ่อ เพราะพ่อท่านขับไม่ค่อยไหวแล้ว บางทีก็ต้องไปอยู่ต่างจังหวัด นอน 2-3 คืน เวลาลูกค้าเหมา ผมขับมาตลอดตั้งแต่เข้ามหาลัยได้ ตั้งแต่มีใบขับขี่ แต่ครั้งนี้เป็นกังวลเหลือเกินครับ ไม่รุ้จะทำยังไง กลัวจะสอบไม่ผ่าน หรือเกรดไม่ถึงเกียรตินิยม เครียดมากครับ ผมไม่รู้จะจัดการชีวิตตัวเองยังไง ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 1 เดือนเองครับ  (โบ๊ท)

  ตอบ

โบ๊ท หนูเป็นเด็กเก่งและมีความกตัญญูมากที่เรียน และขับรถช่วยพ่อทำงาน ซึ่งหากเป็นคนทั่วไปคงต้องใช้วเลา 4 - 5 ปีจึงจะจบแต่หนูโบ๊ท "ย่น" เวลาไปกว่าหนึ่งปี เป็นธรรมดาที่จะต้องเหน็จเหนื่อยมากกว่าปกติ เพราะอายุยังน้อยสำหรับการแบกรับภาระ แล้วงานขับรถก็เสียงอันตรายมาก ก็เข้าใจหรอกนะว่าเปรียบเสมือนหายใจเฮือกสุดท้ายจะกลั้นใจให้ผ่านไปให้ได้ ซึ่งเฉพาะหนูโบ๊ทเท่านั้น ที่รู้ว่าจะทำให้ผ่านไปได้อย่างรอดปลอดภัยอย่างไร อย่างไรก็ตาม เราก็ได้มีความพยายามมาอย่างดีทีสุดแล้ว หากครั้งนี้จะพลาดไม่ได้เกียรตินิยม ก็อยากให้มองว่า ชีวิตคนเรานั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ ใช้ไม่หักโหมรีบเร่ง กาแฟร้อนจะอร่อยเมื่อค่อย ๆ จิบ เช่นเดียวกับชีวิต หากเร่งมากไปพลาดพลั้งเรียนจบ แต่ไม่ทันได้ใช้ชีวิตก็จะเสียหาย ตั้งสติ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำผ่อนปรนตนเองอย่างเร่งรีบจะดีกว่าไหม? ต้องจำไว้ว่ามาได้เร็วขนาดนี้ก็ย่นเวลาไปแยะแล้ว ไม่เป็นไรเสียเวลาไปบ้างยังดีกว่าจะต้องมาชดเชยกันยาวนาน หนูขับรถเป็นงานเสี่ยง หากไม่ใจเย็นเร่งตัวเองพลาดแล้ว ใครจะดูแลพ่อแม่ ทำใจสบาย ๆ ให้โอกาสตัวเองบ้างนะอย่ารีบร้อน ขอให้โชคดีและปลอดภัยค่ะ(อรอนงค์ อินทรจิตร)


 8. ไม่เคยรู้จักคำว่า “ครอบครัวอบอุ่น”

ตั้งแต่เด็กจน โตฉันต้องเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันมาตลอด ทุกปี ปีละหลายๆครั้ง ทั้งเถียง ทั้งใช้ความรุนแรงทางอารมณ์แต่ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กมากๆเคยร้องไห้กอดตุ๊กตาอยู่ในห้องเพราะเครียดมาก*เป็น ลูกคนเดียว จนถึงวันนี้ฉันกำลังจะจบปริญญาฉันยังคงเห็นภาพนั้นอยู่ ถึงแม้ได้ออกมาอยู่หอพักที่มหาวิยาย4ปีแต่เวลากลับบ้านยังต้องเห็นสิ่งเดิมๆ พ่อกับแม่คุยกันทีไรต้องใส่อารมณ์ พ่อเป็นคนเอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แต่ไม่เคยยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น   ส่วนแม่เมื่อก่อนเคยยอมเคยใจเย็น จนตอนนี้เหมือนเขามีขีดจำกัด เขาจึงใช้อารมณ์ใส่กันบ่อยขึ้น ทุกครั้งที่ฉันรู้ ฉันเครียด ฉันร้องไห้ เดิมเป็นคนคิดมากอยู่แล้วและคิดมากนานทุกครั้งที่เห็นภาพเหล่านี้    ฉันไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือไปไหนกันครบ 3 คน      เพราะพ่อและแม่ทำงานทุกวัน   ไม่เคยได้กอดที่รู้สึกว่าอบอุ่นจริงๆ ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่สนิทกับพ่อแม่เหมือนที่คนอื่นรู้สึก ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ออกจากบ้านไปกับเพื่อนก็บอกว่าไปใช้ตัง จะขอไปข้างนอกก็หาว่าอันตราย กลัวอันตรายจนชีวิตที่ผ่านมา  ฉันไม่เคยได้ใช้ ทุกครั้งที่ฉันพลาด พ่อจะต้องบ่นหรือว่าตลอด จำได้แม้แต่ปั่นจักรยานล้ม ฉันโดนว่าซ้ำทั่งๆที่คนอื่นกลับเข้ามาปลอบโยน ฉันไม่เคยได้ความอบอุ่นอย่างที่คนอื่นได้รับ ฉันเหนื่อย ฉันเป็นคนมองโลกในแง่บวกแต่การที่ต้องเจอเหตุการณ์บั่นทอนสภาพจิตใจบ่อย ฉันก็เริ่มที่จะรับมือกับมันไม่ไหว  พื้นฐานของชีวิตมาจากครอบครัว แต่ฉัน..ก็รู้สึกว่ามันบั่นทอนชีวิตฉันเข้าไปทุกที ทำอย่างไรให้พ้นจากความรู้สึกแบบนี้ดีคะ ขอคำแนะนำด้วยคะ ขอบคุณคะ

 

ตอบ

ธรรมชาติของ เด็ก ๆ บนเส้นทางการเจริญเติบโต หัวใจยังเยาว์วัย อ่อนไหวและบอบบาง การเรียนรู้เพื่อสะสมความเข้มแข็งอดทนเพื่อเป็นเกราะป้องคุ้มครองตน ด้วยการสร้างความมั่นใจในตนเอง สร้างทัศนคติในการมองโลก ผ่านทางสิ่งแวดล้อมในครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา และประสบการณ์ชีวิต การได้เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่รักใคร่ปรองดอง มีความเมตตากรุณาต่อกัน พูดกันด้วยภาษาดอกไม้ รู้จักให้อภัยกันและกันไม่ยึดติดกับความขัดแย้งและแตกต่างระหว่างกัน นั่นคือมิตรไม่ตรีที่อบอุ่นภายในครอบครัวที่เด็ก ๆ ต้องการ แต่ไม่ใช้ทุกครอบครัวจะเป็นจะทำได้เช่นนั้น และไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะโชคดีอย่างนั้น ไม่ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ปานกลางหรือยากจน บนพื้นฐานของเศรษฐกิจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง แต่ส่วนที่สำคัญคือความต่างระหว่างหญิงชายที่มีพื้นฐานทางครอบครัวสังคมที่แตกต่างกัน แต่ต้องหรือตัดสินใจมาใช้ชีวิตร่วมกันแล้วปรับตัวยอมรับกันและกันไม่ได้ แม้ความรักจะเป็นเหตุผลในการที่สร้างครอบครัวเช่นพ่อแม่ของหนูคนนี้ แต่ความแตกต่างจากการอบรมเลี้ยงดูทางครอบครัวทำให้มีนิสัยและความสามารถในการ สื่อสารในการแสดงออกในทางลบ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและทัศนคติในการมองโลกของลูก ๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหนูมีการศึกษาสูง อยากให้หนูหันไปมองพิจารณาด้วยความเข้าใจด้วยว่า วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วยตลอดเวลา พ่อหรือผู้ชายอาจคาดหวังต้องการให้ภรรยาฝ่ายหญิง ยอมสงบปากสงบคำเป็นฝ่ายยอมตามความคิดความเชื่อของสามีในฐานะผู้นำ แต่ผู้หญิงที่เป็นแม่สมัยนี้มีอาชีพต้องทำงานหาเงินช่วยเหลือครอบครัวด้วย ความเหนื่อยยากที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการจะไม่โต้แย้งหรือยอมสยบให้ฝ่ายชาย เช่นที่เคยยอมในอดีต โดยเฉพาะสภาพการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงในวัยสี่สิบปีขึ้นไป ทำให้เพิ่มความเครียดและความอดทนก็น้อยลงทำให้เกิดพฤติกรรมไม่ยอมสามีหรือ ฝ่ายชาย ที่สำคัญในช่วงที่สังคมไทยประเทศไทยมีความคิด ความแตกแยกทางการเมือง ความขัดแย้งรุนแรงรอบตัวเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ใน ครอบครัวเช่นกัน อธิบายกว้าง ๆ เพื่อให้หนูได้ขยายโลกทัศน์ในการมองชีวิตในครอบครัว ที่ไม่ใช่เฉพาะหนูที่เจอะเจอปัญหานี้ ครอบครัวส่วนใหญ่มีปัญหาเพิ่มขึ้นมากมายในทุกระดับชั้น วัยรุ่นอย่างหนูจึงต้องใช้สติในการศึกษาเรียนรู้ให้กว้าง ๆ และไม่หมกมุ่นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองคนเดียว การทีหนูบอกว่าที่ผ่านมาหนูเป็นคนมองโลกทางบวก นับว่าหนูโชคดี อย่าเปลี่ยนไป เพราะคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ และเป็นให้ดีที่สุด การที่หนูเกิดมาในครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น หรือพ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้ง อาจเป็นเพราะพ่อแม่สื่อสารกันเองไม่เป็น ในใจอาจจะรักกัน รักลูก แต่พูดแสดงตรง ๆ ไม่เป็น ยิ่งนานไปขัดแย้งมีความเห็นไม่เหมือนกัน ยิ่งต่างฝ่ายต่างพยายามจะทำให้ตัวเองถูกต้อง เอาชนะอีกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสายตาของลูกกอยากจะเป็นฝ่ายถูกฝ่ายดีในสายตาของลูก โดยไม่ทันคิดว่าลูกจะรู้สึกทุกข์เสียใจหวาดกลัวและตกใจกับความขัดแย้งเหล่านั้นอย่างไร  เพราะฉะนั้นด้วยทัศนคติทางบวกที่ธรรมชาติให้กับหนูไว้เป็นทุน เพียงพิจารณาด้วยความเข้าใจ ให้อภัยไม่ถือสา และพยายามก้าวเข้าไปหาเป็นกาวใจให้พ่อแม่จะด้วยวิธีใด หนูต้องศึกษานิสัยพฤติกรรมของพ่อแม่เองว่า หนูจะช่วยทำอะไรให้ทั้งสองสบายใจและเข้าใจกันได้บ้าง อย่าลืมว่าหนูมีการศึกษา พ่อแม่รักหนูจึงส่งเสียให้เรียนสูง ๆ การพยายามจะทำตัวเป็นลูกที่ดีที่เข้าใจพ่อแม่ ให้อภัยไม่ถือสาท่าน ก็จะช่วยแบ่งเบาผ่อนปรนความเครียดของพ่อแม่ และเราก็สามารถสร้างสมความอบอุ่นในครอบครัวให้ตัวเองได้ จำไว้ที่ว่า เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นต้องสร้างด้วยตัวเอง หรือพยายามให้มากที่สุดเพื่อพ่อแม่และตัวเอง นี่เป็นการฝึกทักษะการเรียนรู้เพื่อสร้างอนาคตครอบครัวที่อบอุ่นของตัวเองใน อนาคต ลองไตร่ตรองและลงมือปฏิบัตินะ อย่าลืมว่าหนูเป็นลูกคนเดียว ไม่มีอะไรผิดไม่เสียหน้าที่จะพยายาม แสดงให้พ่อแม่รู้ว่า เขายังมีหนูที่รักเขาและต้องการให้เขาใส่ใจหรือฟังหนูบ้าง ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องท้อ นี่คือการเรียนรู้จักชีวิตเริ่มจากครอบครัวตัวเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุในตัวของมันเองเสมอ หน้าที่ของเราคือ "ค้นหา" เหตุผลนั้นให้เจอ หรือหากแก้ไม่ได้ เราก็จะได้รู้ต่อไปว่า จะต้องทำอะไรต่อไป แต่ไม่ใช่ยอมแพ้หรือหมดกำลังใจ อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เล็ก ๆ น้อย ๆ คือทำให้ท่านรู้ว่า หนูรู้สึกพึงพอใจและขอบคุณพ่อแม่ที่ลำบากเพราะลูกนะ ขอให้เกิดสติและปัญญา!


9. จะทำอย่างไร ให้ตัวเองเป็นคนมีเสน่ห์

หนูเรียนอยู่ ปี 4 จะจบในไม่ช้า กังวลเรื่องบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ค่อยกล้าแสดงออก เกรงว่าเวลาไปหางานทำจะไม่ได้ หรือไม่เป็นที่สนใจพอ สมัยนี้เห็นเพื่อนทั้งหญิงชายไปเสริมหน้าเสริมจมูก แต่งผมแต่งหน้าทำสีผิวกันหลายคน สงสัยว่า จะต้องไปทำด้วยหรือไม่ หรือจะต้องทำอย่างไรให้คนเห็น พูดด้วยแล้วประทับใจ อยากได้เคล็ดลับในการสร้างเสน่ห์ค่ะ ขอบคุณ(น้องนุช)

ตอบ

น้องนุช  ดีใจด้วยที่กำลังจะได้เป็นบัณฑิต  รู้สึกตื่นเต้นไปกับหนูด้วย  ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่รู้สึกว่า “โตแล้ว”  เป็นสาวแล้วและอยากได้ชื่อว่า  เป็นสาวมีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาต้องใจของเพศตรงข้ามและคนทั่วไป  เป็นเรื่องจริงที่สมัยนี้  ทั้งหญิงชายรู้สึกว่า  หากหน้าตาสะสวย แต่งตัวดี  บุคลิกภาพเท่ห์เก๋  ก็จะสามารถหางานได้ง่ายกว่าคนทั่วไป  โดยเฉพาะรูปแบบและพฤติกรรมของ “ดารา”  ผ่านทางการนำเสนอของ  “สื่อ”  ล้วนเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนรุ่นใหม่อยากจะเป็นจะทำให้เหมือน “ดารา”  โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมจมูก  ปาก ตา ผิว ดำขาว อ้วนผอม หรือทั้งหน้าทั้งตัวกันเลย  ลักษณะนี้เป็นการส่งเสริมความงามภายนอก  มากกว่าที่จะสนใจส่งเสริมความงามภายในหรือในจิตใจ  ซึ่งผลจากอิทธิพลของสื่อ  และการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองที่ทำให้คนรุ่นใหม่กลายเป็นคนติดวัตถุ  ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมุ่งหาประโยชน์เบียดเบียนเอาเปรียบผู้อื่น  ไม่ต่างจากพฤติกรรมของนักการเมืองที่ปล้นบ้านปล้นแผ่นดินอยู่ทุกวันนี้

 ความรู้สึกไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีตนเป็น  ทำให้ต้องพยายามแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น  ต่อสู้ดิ้นรนเพียงเพื่อทำให้คนอื่นพอใจอย่างที่หนูกำลังคิดและอยากทำอยู่ขณะนี้   แล้วเคยคิดไหมว่า  หากจะตกแต่งตัวเองให้สวยงาม  แล้วคิดว่าจะทำแค่ไหน จึงจะพอใช้หรือทำอะไรบ้างแล้วเมื่อไรจะหยุด  มีกำหนดไว้ในใจหรือไม่  ในความเห็นของอาจารย์  หากอยากจะทำและคิดว่าจำเป็นคือทำแล้วทำให้ตัวเราดีขึ้น  เป็นการแก้ไขจุดอ่อน  เช่นการทำตาสองชั้น  ทำแค่นั้นแล้วก็หยุด  เป็นต้น  เห็นหลายคนทำจมูก  แล้วทำปาก  ทำหน้า ทำเรื่อยไป จนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้ หากโชคไม่ดี  ผลการผ่าตัดไม่ลงตัวก็อาจกลายเป็นปัญหาต้องพบแพทย์ต่อไปจะทำให้เสียสุขภาพจิต  และเสียเงินเรื่อยไป  ในกรณีนั้นก็น่าเสียดายเงินเสียดายเวลา  นำไปใช้อย่างอื่นจะดีกว่าไหม   คิดอย่างไร?

   แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการพัฒนา  ฝึกจิตใจของเราให้งดงามเข้าไว้  นั่นคือ  คิดให้ดี ไม่คิดร้ายอิจฉาริษยาหรือคิดเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น  ต่อมาคือรู้จักพูดให้ดี พูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อมนุ่มนวล  ไม่พูดจาก้าวร้าวหยาบคาย ไม่ใช้วาจาพูดทำร้ายใส่ร้ายผู้อื่น  นี่จะเป็นเสน่ห์ให้คนที่ได้พบเห็นได้พูดคุยกับเรา  รู้สึกชื่นชมและสบายใจทำให้ใคร  ๆ  อยากเข้าใกล้คบหา  หากทำงานที่ใดกับก็เป็นที่ยอมรับได้ดี  นอกจากการคิดดีพูดีแล้ว  ก็ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยความอดทน  มีความพยายาม ขยันหมั่นเพียร  ตั้งใจทำงานให้ดีและมีเมตตาต่อผู้อื่น   แสดงน้ำใจไมตรีต่อเพื่อนร่วมงานและคนรอบ  ๆ  ทั้งความประพฤติอ่อนน้อม ให้เกียรติตนเองและผู้อื่น   รู้จักกาลเทศะ  ย่อมเป็นเสน่ห์ที่ประทับใจผู้พบเห็นหรือรู้จัก  แม้หน้าตาไม่สวยงาม  แต่ความดีงามของจิตใจและการกระทำคำพูด  ย่อมฉายชัดออกมาให้เป็นที่ปรากฏ  คิดว่า  ทำได้ไหม?

จะเห็นว่า  การใช้บริการทางการแพทย์เพื่อทำศัลยกรรมให้หน้าตาดีมีเสน่ห์  ก็ต้องเสียเงินเสียเวลา  มากกว่าการฝึกปฏิบัติให้เป็นคนดีมีน้ำใจจากภายใน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียเวลา  ขอเพียงมีความตั้งใจจริง  มีศรัทธาและมีความเชื่อมั่นในคุณความดี ก็จะทำให้จิตใจเราเบิกบานมีความสุขต่อเนื่องไป  ลองนำไปฝึกปฏิบัติดูนะ  ขอให้มีความสุข!  (อรอนงค์  อินทรจิตร)


10.  แฟนเลว

สวัสดีค่ะ ตอนนี้หนูมีแฟนซึ่งคบกันมา 4 ปีแล้ว เค้าเป็นแฟนคนแรกของหนูและมีความสัมพันธ์กันทางกาย ในบางครั้ง ซึ่งเป็นส่วนน้อยเค้าเป็นคนดีนะค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่ในบางเรื่องของเค้าหนูรับไม่ได้ เค้าอารมณ์โมโหร้าย พูดจาไม่เพราะ ไม่มีความรับผิดชอบในหลายๆเรื่อง พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผล เป็นคนที่ขี้หึงมากจนน่ารำคาญ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย เค้าเคยตบ ตีหนูจนถึงขั้นเลือดตกยางออก คิ้วแตก หัวแตก ด้วยปัญหาแค่หนูไม่ได้รับโทรสับ อยู่กับเพื่อนไม่สนใจเค้า เวลาหนูไปพบเพื่อนๆ   ต้องขออนุญาติทุกครั้ง และเค้าต้องไปด้วยทุกครั้ง ถ้าเค้าไปไม่ได้ หนูก้อไปไม่ได้ เพื่อนและคนรอบข้างเบื่อเค้ามากๆๆ รวมทั้งตัวหนูด้วย แต่เค้าก้อบอกนะค่ะว่าเค้ารักหนู แต่มันไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย วันนี้เป็นวันที่หนูรู้สึกแย่มากๆกับปัญหาชีวิตของหนูที่หนูไม่สามรถปรึกษา ใครได้เลย เนื่องจากหนูไม่อยากให้พ่อกับแม่รับรู้เรื่องไม่ดี หนูรู้ว่าหนูทำผิดในหลายๆเรื่อง พ่อกับแม่หวังไว้กับหนูมากแต่หนูกลับทำตัวแย่ๆ คบผู้ชายไม่ดี เค้าเปฯคนที่ขาดเรื่องเพศไม่ได้ หนูไม่รู้เหมือนกันว่าทีหนูคบกับเค้าเพราะความสัมพันธ์ทางกาย หรือว่าหนูรักเค้ากันแน่ หนูไม่อยากเลิกเพราะเรื่องความสัมพันธ์นี่แหละค่ะ หนูกลัวว่าถ้าหนูมีคนที่รัก แล้วเค้ารู้ว่าหนูได้ผ่านอะไรมาบ้าง หนูกลัวเค้าจะทิ้ง กลัวกลายเป็นคนที่ไม่มีค่ากับคนๆนั้น กลัวถูกคนอื่นมมองว่าฟันแล้ว ทิ้ง ใจจริงคือ หนูอยากเลิกไปให้จบๆ แต่มันติดอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่เคยมี ตอนนี้หนูอายุแค่ 21 ยังเรียนไม่จบ และอีกอย่างหนูยังต้องเรียนที่เดียวกับเค้าอีก ต้องคอยนั่งทำงานนู่น นี่นั่น ให้ตลอด ต้องเจอหน้ากันทุกวัน แล้วแบบนี้จะทำใจได้ยังงัยล่ะค่ะ จะรับมือกับคนประเภทนี้ยังงัย ช่วยหนูที หนูไม่ไหวแล้ว และอยากจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวของหนูเอง ขอบคุณค่ะ TTT^TTT

ตอบ

หนูสุ อยากทบทวนให้ฟังก่อนว่า ผู้หญิงไทยมากมายก็คิดอย่างหนู จนแต่งงานมีลูกแล้ว เขาก็ยังปฏิบัติเหมือนเมียเป็น "นางทาส" ยังดุด่าทำร้ายร่างกายเสมอ ๆ ฝ่ายหญิงก็ทน จนวันหนึ่งเขาทำร้ายประชิดตัว ฝ่ายหญิงเครียดกลัวไม่ได้ตั้งใจ แต่ความตกใจหันไปคว้ามีดแทงสวนกลับไป ผลคือเขาตาย (สบายไป) ส่วนเราฝ่ายหญิงต้องติดคุก! อยากอยู่ในสภาพที่เห็นเป็นข่าวอยู่มากกมายหรือ? เรื่องราวเหล่านี้ปรากฏเป็นข่าวบ่อย สิ่งที่เราต้องเรียนรู้และจดจำคือ อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องเดินมาจนมุมในลักษณะนี้! หันกลับมาที่หนูสุ ขนาดยังไม่แต่งงาน ยังเรียนด้วยกัน เป็นแค่แฟนกัน เขายังเอาเปรียบให้เราทำโน่นทำที่ให้เหมือนเราเป็น คนใช้ก็ไม่ปาน ซ้ำยังใช้เราเป็นที่ระบายความต้องการทางเพศ (เบียดเบียนเอาเปรียบทางเพศไม่ต้องเสียเงิน) ควบคมคุกคามข่มเหงทำร้ายร่างกาย ทำให้เราเสียใจอับอายและทุกข์ ทั้ง ๆ ที่หนูเพิ่งอายุ 21 ปี นี่คบได้ 4 ปี ยังรุนแรงขนาดนี้ หากคบต่อไปเราจะต้องโดนเขาทำร้ายรังแกอีกนานสักกี่ปี หนูจึงจะลุกขึ้นมายืนหยัดปกป้องตนเอง จะรอให้ถึงวันที่เราควบคุมตัวเองไม่ได้งั้นหรือ? ตั้งสติให้ดีนะ อย่าว่าแต่กลัวอนาคตจะไม่มีชายใดเห็นคุณค่าหนูเลย ลำพังวันนี้ หนูมีค่าในสายตาของเพื่อนชายคนนี้หรือไม่ เปล่าเลย เขาไม่ได้เป็นคุณค่าหนูเลย ก็ในเมื่อหนูไม่เห็นค่าของตัวเองแล้วใครจะเห็น หนูเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ท่านรักใคร่ ทนุถนอมดูแลส่งเสียมาอย่างดี ไม่เคยทำร้ายทำลายหรือทำให้หนูเป็นทุกข์มาก่อน แล้วทำไมวันนี้ปล่อยให้ "ผ้ชายป่วยจิต" มาขู่เข็ญทำร้ายร่างกายและจิตใจเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะหนูปล่อยตัวเองให้ "ยอมเขา " เขาจึงกล้าทำร้ายและคุกคามเรา หากเป็นคนปกติคงไม่มีใครกล้าทำขนาดนี้ เพราะต่างก็ยังอายุน้อย อยู่ท่ามกลางเพื่อนต้องอายเกรงใจเพื่อน แต่เขาเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการทำร้ายหนู เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่หนูจะต้องลุกขึ้นปกป้องตัวเอง และยุติความสัมพันธ์นี้ ไม่ต้องกลัวว่า เลิกกันแล้วจะหาผู้ชายมารักไม่ได้ ถ้าหาไม่ได้แล้วไง? ที่เรียนสูง ๆ นี่ก็เพื่อเลี้ยงตัวเองดูแลตัวเอง ทำไมต้องกลัวต้องง้อใครด้วย คนเราจะแต่งงานอยู่กินเป็นครอบครัวกัน เพราะมีความรักเมตตากรุณา มีความดีต่อกันเป็นพื้นฐาน ไม่มีใครใช้ "พรหมจรรย์" เป็นเครื่องตัดสินแต่งงานนะ คิดเสียใหม่ หนูเป็นผ้หญิงสมัยใหม่ ถึงกล้ามีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ยังเรียนอยู่ก็ต้องทำตัวทำใจให้ทันสมัยสมกับการ กระทำแครั้งนี้หน่อย คือ 1 ปฏิเสธที่จะยอมให้เขาเอาเปรียบ เขาให้ทำอะไรก็ปฏิเสธ และหาเพื่อนไว้เกาะหรือยึดชั่วคราว เล่าเรื่องราวที่เขาทำให้เพื่อน ๆ ฟัง เพื่อนจะเป็นเกราะสำคัญหากเราเปิดเผยไม่ปัดบังเขา และกรณีนี้ไม่ควรปิดบัง 2. หากเขาต้องการมีเซ็กซ์ หนูก็ต้องปฏิเสธเขาเด็ดขาด 3. หากเขาทำร้ายตบตี ต้องไปร้องเรียนคณะบดีเพื่อให้ตรวจสอบไตร่สวน กรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นในคณะทีอาจารย์สอนมาก่อน อาจารย์พานักศึกษาหญิงไปร้องเรียนคณะบดี ขณะยังทำการสอบสวนอยู่ไม่เสร็จ ฝ่ายชายเกิดอาการคลั่งอามีดไล่ฟันคนทั้งมหาวิทยาลัย สุดท้ายจุดจบคือต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เพราะเขาป่วยจากความกดดันทางครอบครัวเขา แต่ไม่ใครช่วยดูแล เขาจึงมาทำร้ายแฟนหญิง ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นอาการและลักษณะของคนที่ไม่ปกติ และต้องการจิตแพทย์ หนูลุกขึ้นจัดการไห้เพื่อน ๆรับรู้และช่วยกันพาเขาส่งไปให้อยู่ในการดูแลของแพทย์ดีที่สุด ขอให้โชคดี! (อรอนงค์  อินทรจิตร)

******************************************************

 
 
  Counter 203,800
 
 
© 2012 Thaiteenline. All Rights Reserved. หน้าหลัก | ความเป็นมา | กฎหมายเด็กและครอบครัว | วัยรุ่นอยากรู้ | บทความวัยรุ่น | ฮอทไลน์เคลื่อนที่ | ติดต่อเรา