การให้เวลากับเพื่อน
การให้เวลากับเพื่อน
“ ในวันหนึ่งซึ่งเงียบเหงาและเดียวดาย ในวันหนึ่งซึ่งคุณอยากมีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ
ในวันหนึ่งซึ่งคุณต้องการใครสักคนคอยปลอบใจ ในวันหนึ่งซึ่งเปลวไฟใกล้ดับลง......"
ปัญหาในสังคมทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครมีเวลาให้กับใคร เราต่างเร่งรีบที่จะทำงานแข่งขันแก่งแย่งกัน โดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมือง เวลาเป็นของมีค่า เราพยายามจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในการดำเนินชีวิต ทุกคนต้องการเวลาแต่ไม่มีใครมีเวลาให้ใคร และในการจะเป็นเพื่อนที่ดีได้นั้นจำเป็นต้องให้เวลาแก่กันและกันบ้าง
ลำดับขั้นตอนแรกของการให้ความเป็นเพื่อนก็คือ การสละเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลที่ต้องการ ศูนย์ฮอทไลน์ก่อตั้งและดำเนินการโดยทีมงานที่ตระหนักถึงความต้องการเวลาของผู้หญิง ของผู้ชาย ของผู้ใหญ่ ของเด็กวัยรุ่น และของบุคคลที่กำลังมีปัญหา เวลาก็เป็นอีกเหตุผลง่าย ๆ ที่วัยรุ่นออกไปนอกบ้านและสร้างความยุ่งยากให้ผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น ตามแต่ผู้ใหญ่จะใช้คำที่เรียกพฤติกรรมดังกล่าว การที่เราพูดถึงการให้เวลานั้นไม่ใช่เวลาจะเป็น "ยา" สมานความเจ็บปวดได้ดีที่สุดเท่านั้น แต่เวลาที่เราต้องการใครสักคนอย่างทันทีทันใด มีความหมายมากกว่าเวลาที่ยังมาไม่ถึง การให้เวลาที่ถูกจังหวะกับบุคคลแม้เพียงเล็กน้อยมีค่ามากกว่าเวลามากมายที่ให้กับบุคคลที่ยังไม่ต้องการ
ในขณะที่ผู้คนทุกคนในสังคมทุกระดับชั้นและวัยต่างก็ได้รับส่วนแบ่งของความสับสนในการดำเนินชีวิตอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยของเหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงภายนอก ซึ่งส่งผลเพิ่มความสับสนให้กับปัจจัยภายในคือ "อารมณ์"ของมนุษย์ทุกคน
เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้น ในความหมายของคำว่า "ปัญหา" คือ เหตุการณ์ที่คลุมเครือไม่แน่ชัดเหมือนการหารเลขไม่ลงตัว ไม่รู้เศษที่เหลือควรจะปัดขึ้นหรือปัดทิ้ง และระหว่างที่ยังลังเลไม่แน่ใจ ไม่สามารถตัดสินใจให้แน่ชัดลงไปได้ ความสับสนวุ่นวายก่อให้เกิดอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาปกคลุมปัญหาไว้เบื้องบน และอารมณ์นี้เองทำให้คนมองปัญหาไม่แน่ชัดหรืออาจทำให้มองไม่เห็นปัญหาที่แท้จริง
มนุษย์ทุกคนมี "อารมณ์" เป็นทุนเดิมเหมือนกันหมดอารมณ์เป็นสถานะทางจิต เกิดอยู่ภายในโดยมีปัจจัยภายนอกเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระดับอารมณ์ลดต่ำลงหรือเพิ่มขึ้นในแต่ละกรณี โดยมี "สติ" เป็นเครื่องควบคุมและปรับระดับอารมณ์
"สติ" ซึ่งเป็นเครื่องควบคุมอารมณ์นี้ เกิดจากความรู้ เกิดจากสามัญสำนึกภายใน เกิดจากการสะสมของประสบการณ์ การศึกษา และภูมิหลังพื้นฐานทางครอบครัว เมื่อบุคคลหนึ่งถูกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ให้มีความโกรธหรือความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างรุนแรง สติจะเข้าควบคุมได้ในระดับหนึ่ง สติจะกำหนดให้บุคคลนั้นควบคุมอารมณ์ของตนเอง หรือสติอาจเปิดโอกาสให้อารมณ์ล้นเขตการควบคุมออกมาก่อนที่จะถึงจุดระเบิด ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึง การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดในระดับที่ไม่รุนแรงนักไปจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นหรือตัวของเขาหรือเธอเอง
ในจุดหนึ่ง อารมณ์ที่ถึงจุดระเบิดกระทันหันโดยสติปรับตัวตามไม่ทัน อาจเป็นอันตรายต่อสภาวะความสมดุลทางประสาท ความคิดและจิตใจกลายเป็นอาการเสียสติหรือโรคประสาทที่ต้องได้รับการบำบัดอย่างใกล้ชิดจากจิตแพทย์โดยตรงก็ได้
จากสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกที่กดดันต่อบุคคล อารมณ์และจิตใจของแต่ละคนต้องปรับสภาพตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จิตใจที่อยู่ในความสับสนวุ่นวายกลายเป็นอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านแผ่กระจายไปทั่ว ๆ แสดงพฤติกรรมออกมาเป็นบรรยากาศที่ตึงเครียดที่ผู้อยู่ใกล้สามารถสัมผัสได้และอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตของผู้คนรอบข้างด้วย
"อารมณ์" เปรียบได้กับโรคติดต่อชนิดหนึ่งซึ่งจะแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วในทุกระดับชั้น ทุกสถานการณ์ ทุกวงสังคม ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น อารมณ์โกรธที่ระงับไว้ไม่ได้ด้วยสติของบุคคลนั้นจะแสดงออกทางสีหน้าที่บึ้งตึง คำพูดที่กระทบกระแทก เสียดสี เปรียบเปรย เยาะเย้ย ถากถาง หรือแสดงความไม่เป็นมิตร ผู้ที่ตกเป็นเป้าของความโกรธหรือแม้แต่ผู้ที่พบเห็นก็เกิดความไม่สบายหูสบายตารับเอาอารมณ์ที่ขุ่นมัวเข้ามาไว้ แล้วก็นำออกแพร่ขยายกับบุคคลอื่นต่อไป และอารมณ์นี้มิใช่มีเพียงประเภทเดียว อารมณ์มีอยู่มากมายหลายหลากด้วยกัน
อารมณ์เป็นสถานะทางจิต เป็นกิเลสของมนุษย์ มนุษย์มีความรัก โลภ โกรธ หลง ความต้องการ ความทะเยอทะยาน ความหึงหวงอาฆาตแค้น ริษยา จากระดับที่รุนแรงที่สุดไปจนถึงระดับของความท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่อ พลังทางจิตอ่อนแอจนไม่สามารถรักษาความสมดุลทางร่างกายและความนึกคิดได้ต่อไป มนุษย์อาจทอดอาลัยในชีวิต สิ้นคิด หรือยอมแพ้ สุดท้ายอาจทำร้ายหรือทำลายชีวิตตนเองและผู้อื่นได้
ธรรมชาติของอารมณ์เหมือนสสารภายในร่างกาย จำเป็นต้องได้รับการระบายออกเมื่ออารมณ์อยู่ในระดับเกินความต้องการของร่างกาย จำเป็นต้องได้รับการเพิ่มเติมเมื่ออยู่ในระดับต่ำ อย่างในรายท้อแท้สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต อารมณ์ที่ขึ้นระดับสูงสุดเป็นความกราดเกรี้ยว อิจฉาริษยาชิงชัง โกรธแค้น ถ้าสะสมไว้ต่อไปจะเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวและต่อบุคคลภายนอก จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในการระบายอารมณ์ร้าย ๆ ออกเพื่อให้สถานะทางจิตอยู่ในสภาวะสมดุล
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ปัจจัยภายนอกเป็นแรงกระตุ้นอารมณ์ให้อารมณ์คุกรุ่นขึ้นเมื่อสถานการณ์ภายในสังคมสิ่งแวดล้อมตกอยู่ภายใต้ความสับสนวุ่นวาย อารมณ์ภายในก็สับสนทับถมมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัวโดยที่สังคมไม่มีมาตรฐานใดจะควบคุมอารมณ์ของคนทั่วไปได้ และเครื่องควบคุมอารมณ์ของแต่ละคนบุคคลก็มีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้คนมากมายต้องเป็นเหยื่อของอารมณ์ตนเองของบุคคลรอบข้างและของสังคมไปพร้อมกัน
การเริ่มต้นความเป็นเพื่อน
ธรรมชาติของมนุษย์เรา คือ ความปรารถนาที่จะได้อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีการรวมตัวกันเป็นสังคม ชุมชน และทุกคนต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น ๆ เพื่อจะได้เป็นเจ้าของความรู้สึกมีพวกพ้อง เพื่อนฝูง อันทำให้ชีวิตของแต่ละคนเกิดความมั่นคง อบอุ่นและไม่เงียบเหงาว้าเหว่
แต่เมื่อใดที่ "เรา" ผู้หนึ่งผู้ใดถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องอยู่คนเดียว หรือเกิดความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพัง ขาดพวกพ้องเพื่อนฝูง ขาดคนเข้าใจสนใจ ขาดคนรักใคร่เอาใจใส่ "เรา" จะเกิดความรู้สึกท้อแท้ เงียบเหงา คับข้องใจ โศกเศร้า รู้สึกตัวเองไม่มีค่า หาประโยชน์ไม่ได้ อันอาจจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตเสื่อมโทรมต่อไปได้ การให้ความเป็นเพื่อนให้ความเข้าใจ ให้ความเห็นอกเห็นใจ กับบุคคลประเภทนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นของงานลดระดับความตึงเครียดในสังคมไทยปัจจุบัน
สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม หรือสังคมย่อยที่สมาชิกในสังคมรู้จักมักคุ้นและมีความสนิทสนมพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกันและกันเสมอมา แต่จากการพัฒนาไปสู่สังคมอุตสาหกรรมประกอบกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ทำให้เกิดการแก่งแย่ง แข่งขัน ในการทำมาหากินการดำเนินชีวิต ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านญาติมิตร เริ่มห่างเหินไปกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน ไม่มีใครมีเวลาให้ใคร ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจึงเข้าครอบงำหัวใจของผู้คนในสังคมเมืองโดยเฉพาะในเมืองหลวง เช่น ผู้คนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ
ความเงียบเหงามิได้เลือกเกิดกับผู้หนึ่งผู้ใดหรือชนชั้นใดโดยเฉพาะ คนร่ำรวยหรือยากจนก็อาจจะเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้ แต่ผู้ที่อยู่ในฐานะที่เหนือกว่า สูงกว่าร่ำรวยกว่า และสมบูรณ์กว่า ย่อมสามารถแสวงหาวิธีชดเชยความว้าเหว่นั้นได้ดีกว่าและมากกว่าผู้ที่อยู่ในฐานะปานกลางจนถึงยากจน หรือผู้ที่ขาดญาติมิตรเพื่อนฝูง ตกงาน หรือไร้ที่พึ่งพิง ตลอดจนผู้ที่ขาดความรู้ความสามารถทั้งทางสติปัญญาและหรือทางร่างกาย เช่น ผู้พิการทั่วไป เพราะฉะนั้นสิ่งง่าย ๆ ที่พวกเราทุกคนสามารถทำได้ไม่ยาก คือ การหยิบยื่น ความเมตตาและไมตรีจิตให้กับผู้แสวงหา ด้วยความจริงใจโดยไม่ต้องการผลตอบแทนแต่อย่างใด
"การให้ความเป็นเพื่อน" ไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อหามาได้ และผู้ให้ก็ไม่สูญเสียสิ่งใดไปในการให้ความเป็นเพื่อน แต่คุณค่าของความเป็นเพื่อนมีราคาสูงเหนือสิ่งใด ในขณะเดียวกัน คำว่า "เพื่อน" ก็มีขอบข่ายอยู่ในตัวของมันเอง การให้ความเป็นเพื่อนมีลักษณะพิเศษทางความสัมพันธ์ซึ่งทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ให้และผู้รับต่างรักษาข้อจำกัดส่วนบุคคลของตนไว้ได้
ในขณะเดียวกันผู้ที่จะให้ความเป็นเพื่อนได้ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษนอกเหนือจากความตั้งใจที่จะให้เวลาในการฟังคำพูดของผู้อื่นอย่างมีสมาธิ โดยไม่ด่วนกระโจนเข้าไปสั่งสอน แนะนำ หรือตัดสินใจให้ผู้หนึ่งผู้ใด แต่ให้กำลังใจและช่วยให้ผู้นั้นยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเองด้วยความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนบนรากฐานแห่งการเลือกตัดสินปัญหาของเขาด้วยตัวของเขาเอง
การให้ความเป็นเพื่อนของศูนย์ฮอทไลน์
การให้ความเป็นเพื่อนทางโทรศัพท์เริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณยกโทรศัพท์และกล่าวคำต้อนรับกับผู้โทรฯ หรือเมื่อคุณเปิดประตูสำนักงานเชื้อเชิญให้ผู้มาใช้บริการเข้าภายในด้วยทีท่า สายตา และรอยยิ้มแห่งไมตรีจิต ความเป็นเพื่อนซึมแทรกอยู่ในคำกล่าวทักคำแรกต่อคนแปลกหน้า ฉะนั้นขอให้จำไว้ว่าในแต่ละครั้งที่คุณรับโทรศัพท์ ในแต่ละครั้งที่คุณกล่าวคำต้อนรับ คุณกำลังปูพื้นฐานแห่งมิตรภาพระหว่าง (ศูนย์ฮอทไลน์และผู้มาใช้บริการ) ตัวคุณและผู้ที่คุณติดต่อด้วยโดยตรง จะเป็นผู้ที่คุณรู้จักหรือผู้มาติดต่องานกับองค์การของคุณผ่านคุณก็ตาม ถ้าคุณไม่สามารถสื่อความเป็นมิตรหรือสร้างความประทับในให้กับผู้มาติดต่อได้ในครั้งแรก มันอาจหมายความว่านั่นอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับคุณหรือคุณอาจพลาดไปแล้วสำหรับการให้ความเป็นเพื่อนกับผู้แสวงหาและผู้มาติดต่อ
จำไว้ว่าสำหรับคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานั้น สิ่งแรกที่ทุกคนจะช่วยเขาได้ คือการให้ความเป็นเพื่อน ให้ความเห็นอกเห็นใจและให้ความเป็นมิตรที่ดี เราไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ใครได้ในนาทีแรกที่พบกัน แต่เราสามารถสร้างสะพานแห่งความเชื่อมั่น ความไว้วางใจและความเข้าใจให้แก่กันเสียก่อน ปัญหาทุกอย่างเราต้องมองเห็นความสำคัญของมันเทียบเท่าที่เพื่อนของเรารู้สึก คุณต้องไม่มองหรือพิจารณาตัดสินว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดเล็กน้อยไร้สาระ น่าเบื่อ หรือน่ารังเกียจ
ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเพื่อน จะต้องไม่ปล่อยให้ตัวเอง เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเขา แต่จงเตรียมตัวที่จะยืนเคียงข้างเขาในอันที่จะให้กำลังใจสนับสนุนในวาระแห่งความทุกข์ยาก ความสับสนวุ่นวายและในยามที่เขาต้องการ "เพื่อน"
บนรากฐานแห่งความสัมพันธ์ต้องอาศัยความอดทน ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ "เรา" จะต้องเป็นนักฟังที่ดี มีสมาธิ จดจ่อความนึกคิดของเรากับคำพูดทุกคำที่เขากล่าวออกมาและให้ความเห็นใจ คำปลอบประโลมใจ เราต้องสนับสนุนส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ผู้ปัญหาในการระบายความในใจของเขาออกมาให้หมด ละเว้นคำถามพร่ำเพรื่อ แต่ใช้คำถามเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงถึงความสนใจ ความเอาใจใส่ในเรื่องราวของเขา
การให้ความเป็นเพื่อนนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกระแวดระไว หรือที่เรียกว่า Sensitivity และแต่ละสถานการณ์ย่อมแตกต่างกันไป อะไรที่อาจถูกต้องเหมาะสมในกรณีนี้อาจไม่ดีเลยสำหรับในอีกสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้น เพราะฉะนั้น ในการสร้างความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนก็คือ การขยายขอบข่ายบริเวณความรู้สึกระแวดระไวของเราออกไปโดยไม่ต้องอาศัยคำพูด เราต้องใช้สามัญสำนึก (Common senses) ใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องนำทางในการสร้างความสัมพันธ์ ยิ่งเราสามารถสร้าง ความศรัทธาให้เพื่อนมีความมั่นใจในตัวเราได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นการช่วยเพื่อนให้สามารถเผชิญกับปัญหาของเขาได้เร็วเท่านั้น การสร้างความเชื่อถือและพึ่งพิงได้เป็นสิ่งสำคัญในการให้ความเป็นเพื่อนเช่นเดียวกับการให้ความเมตตาเห็นใจ
ตลอดระยะเวลาแห่งกระบวนของการให้ความเป็นเพื่อน เราจะต้องพยายามสร้างความมั่นใจและความรู้สึกที่ดีในตัวเองแก่เพื่อน ตลอดจนสร้างความรู้สึกให้กับเขาว่าเขาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง เราต้องให้กำลังใจเขาในการเรียนรู้ที่จะพึ่งพิงตัวเขาเอง และให้เขารู้สึกมีอิสระพอที่จะตัดสินใจ
อย่าผูกมัดหรือทำให้เพื่อนรู้สึกว่าเรามีบุญคุณกับเขา หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา อันทำให้เขาต้องติดต่อมาหาเราอยู่ตลอดไป เมื่อใดที่เขาไม่ต้องการเราต่อไปแล้ว เขาย่อมจะอำลาจากเราไปได้ ในขณะเดียวกันเราจะอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนในยามต้องการของเขาเสมอและตลอดไป เมื่อไรที่เขาพอใจจะมาหาเรา เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อน เราจะเป็นเพื่อนในยามต้องการของเขาเสมอ
อันที่จริงแล้ว การให้ความเป็นเพื่อนควรเกิดขึ้นกับบุคคลที่ใกล้ชิดก่อน เพื่อนของเราบางคนอาจยังไม่เคยคุยกับบุคคลที่ใกล้ชิดกับตนเองมาก่อน เช่น ในเรื่องที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเจ้าของเรื่อง บุคคลที่สามารถให้ความเข้าใจและความเป็นเพื่อนในระดับแรก ซึ่งเราจะต้องชี้ให้ผู้ใช้บริการเห็นด้วย ได้แก่
ครอบครัว เช่น ภรรยา สามี พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก หลาน ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย ปู่ ย่า เป็นต้น
คนรัก เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน เป็นต้น
คนรู้จักในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สำนักงาน สมาคม ชมรม กลุ่ม สโมสร โรงเรียน เป็นต้น
นักวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล แพทย์ ครูอาจารย์ เป็นต้น
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละคน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีปัญหา ต้องเผชิญกับความสับสนคับข้องใจ หรือมีปัญหาที่ยังไม่สามารถจะแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่เราจะต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากคนใกล้เป็นอันดับแรก จงให้โอกาสคนใกล้ได้ให้ความเป็นเพื่อนกับเรา ค่อย ๆ เรียงลำดับความนึกคิดไปว่า…ใครบ้างสามารถจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีของเขหรือเธอได้
ในแต่ละกรณี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด ไม่สำคัญขอเพียงให้โอกาสเขาเหล่านั้น เพราะการให้โอกาสคนอื่น ก็เหมือนการให้โอกาสตนเองนั่นเอง
|